Garnier
GARNIER Light Complete Day SPF17/ PA++
Description
-
How to use
-
Ingredients
• สโนว์ไพน์ ซี พลัส โมเลกุลสังเคราะห์ที่พบในสนสกัด นวัตกรรมล่าสุดของส่วนผสมเพื่อผิวกระจ่างใส ประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซี 10 เท่า ช่วยลดเลือนความหมองคล้ำ ให้จุดด่างดำดูจางลง จัดการลึกถึงสาเหตุความหมองคล้ำในระดับชั้นผิว • ไมโคร-สมูทติ้ง เอเจนต์ อนุภาคขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ให้ผิวดูเรียบเนียน รูขุมขนดูกระชับ • สารสกัดบริสุทธิ์จากมะนาว อุดมด้วยสารแอนติ-ออกซิแดนซ์ ช่วยเพิ่มประกายผิวสว่างใส • เอสพีเอ 17 และ พีเอ++ ป้องกันผิวจากรังสียูวีเอ และยูวีบี
Suggestion
-
Benefit( ผลลัพธ์หลังการใช้ )
3.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
1.0 Vote(s)
4
1.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
1.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
1.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
Details Product
การ์นิเย่ ไลท์ คอมพลีท เดย์ SPF17/ PA++
ทางออกสู่ผลลัพธ์ผิวสว่างกระจ่างใส สลายจุดด่างดำลึกถึงชั้นผิว ไม่เพียงแค่ 1 แต่ถึง 3 ปัญหาจุดด่างดำกวนใจสำหรับทุกวัย ทั้ง รอยสิว ฝ้าแดด และจุดดำ พร้อมเผยผิวสว่างกระจ่างใสแบบคอมพลีท แตกต่างด้วยประสิทธิภาพที่เหนือกว่าวิตามินซีถึง 10 เท่า ของสโนว์ไพน์ ซี พลัส ผสานสารสกัดบริสุทธ์จากมะนาว ช่วยลดเลือน 3 ปัญหา จุดด่างดำอย่างตรงจุด ให้สีผิวสม่ำเสมอ เรียบเนียน เผยผิวกระจ่างใสขึ้น 2 ระดับ ใน 14 วัน* พร้อมปกป้องผิวจากรังสียูวีด้วยค่า SPF17/PA++
ผลลัพธ์ที่พิสูจน์แล้ว เห็น สัมผัส และรู้สึกได้ว่า
ผิวกระจ่างใสขึ้น 2 ระดับ ใน 14 วัน*
ใน 4 สัปดาห์ …
96% จุดด่างดำจาก รอยสิว ดูลดเลือนลง
95% จุดดำจากแดด และมลภาวะดูลดเลือนลง
89% จุดด่างดำจาก ฝ้าแดด ดูลดเลือนลง
* ผลความพึงพอใจ 70% จากผู้หญิง 410 คน อายุ 18-35 ปี หลังใช้ผลิตภัณฑ์ 14 วัน โดยอิปซอสส์ ประเทศไทย มิ.ย. – ส.ค. 53 เมื่อใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
- ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างไปในแต่ละบุคคล

เป็นเครื่องสำอางที่ใช้อยู่เป็นประจำใช่หรือไม่ : ไม่ได้ใช้เป็นประจำ
รีวิวผลิตภัณฑ์เมื่อ : เคยใช้
ผลลัพธ์หลังการใช้ : ขาวกระจ่างใส เหนอะหนะผิว ทำให้หน้ามัน
ซื้อผลิตภัณฑ์จาก : ร้านสะดวกซื้อ(7-11, แฟมิลี่ มาร์ท, ลอว์สัน)
รู้สึกว่าหน้าใสขึ้นหลังจากใช้ประมาณ 2 สัปดาห์ แต่หน้าก็มันขึ้นด้วยค่ะ ตอนนี้เลยไม่ได้ใช้แล้ว
ผลลัพธ์หลังการใช้
ขาวกระจ่างใส เหนอะหนะผิว ทำให้หน้ามัน
ความสม่ำเสมอในการใช้
ไม่ได้ใช้เป็นประจำ
รีวิวเมื่อ
เคยใช้
ซื้อผลิตภัณฑ์จาก
ร้านสะดวกซื้อ(7-11, แฟมิลี่ มาร์ท, ลอว์สัน)

ใช้แล้วรู้สึกว่าผิวใสขึ้น เราชอบการ์นิเย่เพราะกลิ่นด้วยแหละ รู้สึกว่ามันหอมดีค่ะ
เป็นเครื่องสำอางที่ใช้อยู่เป็นประจำใช่หรือไม่ : ไม่ได้ใช้เป็นประจำ
รีวิวผลิตภัณฑ์เมื่อ : ใช้ซ้ำ
ผลลัพธ์หลังการใช้ : ขาวกระจ่างใส ลดจุดด่างดำ ผิวชุ่มชื่น
ซื้อผลิตภัณฑ์จาก : ร้านขายยา(วัตสัน, บู๊ทส์, ซูรูฮะ เป็นต้น)
ใช้แล้วรู้สึกว่าผิวใสขึ้น เราชอบการ์นิเย่เพราะกลิ่นด้วยแหละ รู้สึกว่ามันหอมดีค่ะ
ผลลัพธ์หลังการใช้
ขาวกระจ่างใส ลดจุดด่างดำ ผิวชุ่มชื่น
ความสม่ำเสมอในการใช้
ไม่ได้ใช้เป็นประจำ
รีวิวเมื่อ
ใช้ซ้ำ
ซื้อผลิตภัณฑ์จาก
ร้านขายยา(วัตสัน, บู๊ทส์, ซูรูฮะ เป็นต้น)
you might also like

มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบอุบัติการณ์มาก อันดับแรกในหญิงไทยและหญิงทั่วโลก สามารถพบโรคนี้ ได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย จากการรณรงค์การตรวจ ปัจจุบันใช้การตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีการถ่ายภาพรังสีเต้านม (mammogram) ทำให้แพทย์ สามารถวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะแรก บทความโดย นพ.สุพจน์ สุไพบูลย์พิพัฒน์ ฟรี ปรึกษาอาหารเสริม เครื่องสำอางและความงาม ตามหลักการแพทย์โดยเภสัชกร ได้ที่ Facebook : GURUCHECK เช็ค กับ กูรู เช็ค ...อาการของมะเร็งเต้านม พบก้อนที่เต้านมหรือที่รักแร้ บ่อยครั้งสาเหตุที่คนไข้มาหาหมอ มาจากก้อนที่เต้านมเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมา คือ อาการเจ็บเต้านม ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจซ้ำหรือส่งตรวจทางรังสีเพิ่มเติม ลักษณะเต้านมเปลี่ยนแปลงไป รูปทรงและขนาดของเต้านมเปลี่ยนไปจากเดิม อาจพบผิวหนังที่เต้านมบุ๋มลงไปคล้ายลักยิ้ม มีน้ำเหลืองหรือน้ำเลือดไหลออกจากหัวนม ลักษณะหัวนมที่เปลี่ยนแปลงไป สีหรือผิวหนังบริเวณลานหัวนมที่เปลี่ยนไปจากเดิม หัวนมที่เคยปกติกลายเป็นหัวนมบอด อาจเกิดจากมีก้อนเนื้อมะเร็งใต้หัวนม ที่ลุกลามไปที่ท่อน้ำนมและดึงรั้งหัวนมให้บุ๋มลง อาจมีแผลที่หัวนมและรอบหัวนม เจ็บผิดปกติที่เต้านมหรือที่รักแร้ เช็ค ...สาเหตุของมะเร็งเต้านม ในปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปแน่นอนถึงสาเหตุของมะเร็งเต้านม แต่พบปัจจัยเสี่ยงที่ส่งเสริมให้เกิดโรคได้มากขึ้น ดังนี้ อายุ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ยิ่งอายุมากขึ้นโดยผู้หญิงวัย 60 ปีขึ้นไป ยิ่งมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมสูง เพศ มะเร็งเต้านมจะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย- พันธุกรรม มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่า 2 คน มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมได้สูงกว่าผู้หญิงที่ไม่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งชนิดนี้ เคยมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านมหรือซีสเต้านมชนิดที่เริ่มผิดปกติมาก่อน ผู้ป่วยที่เคยเป็นมะเร็งเต้านมข้างใดข้างหนึ่งมาก่อนมีโอกาสในพัฒนาการเกิดมะเร็งกับเต้านมอีกข้างมากขึ้น หรืออาจเกิดกับเต้านมข้างเดิมได้เช่นกัน มีช่วงอายุของการมีประจำเดือนนาน เริ่มมีประจำเดือนมาครั้งแรกตั้งแต่อายุยังน้อย และหมดประจำเดือนช้า(ผู้ที่มีประจำเดือนก่อนอายุ 12 ปี หรือหมดประจำเดือนหลังอายุ 55 ปี) เชื้อชาติ พบในคนเชื้อชาติในประเทศตะวันตกมากกว่าเอเชีย พฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อนกับสารเคมี หรือพฤติกรรมที่ทำร้ายสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย กินอาหารไขมันสูง เป็นต้น การใช้ฮอร์โมนเพศหญิงทดแทนหลังหมดประจำเป็นเวลานาน เช็ค ...การวินิจฉัยมะเร็งเต้านม การวินิจฉัยด้วยตนเอง สามารถทำได้โดยการมองด้วยตาเปล่าเพื่อดูลักษณะที่ผิดปกติและการคลำ สามารถตรวจเช็คเต้านมด้วยตัวเองตั้งแต่อายุ 20 ปี ขึ้นไป โดยทำเป็นประจำทุกเดือน การวินิจฉัยโดยแพทย์ เมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไปควรเข้ารับการตรวจเต้านมที่โรงพยาบาล อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ซึ่งมีวิธีการตรวจดังนี้ วิธีที่ 1 การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรม วิธีที่ 2 การเอกซเรย์เต้านม หรือแมมโมแกรม(Mammogram) ร่วมกับอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) วิธีที่ 3 การตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging, MRI) วิธีที่ 4 การเจาะชิ้นเนื้อ (Biopsy) เช็ค ...การรักษามะเร็งเต้านม ทางเลือกในการรักษามะเร็งเต้านมมีหลายวิธี ดังนี้ การผ่าตัด (Surgery) เป็นการรักษาที่แพทย์มักใช้กับผู้ป่วยมะเร็งในระยะเริ่มต้น โดยการผ่าตัดมี 2 วิธี คือ การผ่าตัดแบบสงวนเต้านมไว้ (Partial Mastectomy) และ การผ่าตัดแบบตัดเต้านมออก (Total Mastectomy) การฉายรังสี (Radiation Therapy) การรักษาด้วยเคมีบำบัด (Chemotherapy) การรักษาด้วยการให้ยาต้านฮอร์โมน เช็ค ...การป้องกัน มะเร็งเต้านม สาเหตุการเกิดมะเร็งเต้านมยังไม่แน่ชัด ดังนั้น ควรหมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายและปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังต่อไปนี้ ควรตรวจเต้านมของตนเองตั้งแต่ 20 ปีเป็นต้นไป และทำเป็นประจำทุกเดือน เมื่ออายุ 40 ปี ขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจเต้านมจากแพทย์หรือพยาบาลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจเอกซเรย์เต้านม ประมาณปีละ 1 ครั้ง ระวังเรื่องการได้รับฮอร์โมนติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยเฉพาะผู้ที่จำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนเพศหญิงเสริม เช่น ผู้ที่มีปัญหาประจำเดือนหมดหรือการผ่าตัดไข่ออกก่อนเวลาอันควร หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม เช่น หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงสารเคมีที่เป็นโทษต่อร่างกาย เป็นต้น ออกกำลังกายสม่ำเสมอและควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน อ้างอิง 1. BREASTCANCER.ORG. Symptoms of Breast Cancer. Retrieved June 1, 2017, from http://www.breastcancer.org/symptoms/understand_bc/symptoms 2. รศ.นพ.อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์. เมื่อไร! สงสัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม. สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560. จาก http://www.si.mahidol.ac.th 3. BREASTCANCER.ORG. Breast Cancer Tests: Screening, Diagnosis and Monitoring. Retrieved June 1, 2017, from http://www.breastcancer.org/symptoms/testing/types 4.สถานวิทยามะเร็งศิริราช. การตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตัวเอง. สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560. จาก http://www.si.mahidol.ac.th/th/division/hph/admin/news_files/496_49_1.pdf 5. นพ.สาธิต ศรีมันทยามาศ. มะเร็งเต้านมกับความเข้าใจผิดที่ผู้หญิงต้องรู้. สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560. จาก https://www.bangkokhospital.com/wattanosoth/web/th/site/all_about_cancer/view/82 6. cancer.gov. (Breast Cancer Prevention (PDQ®)–Patient Version. Retrieved June 1, 2017, from https://www.cancer.gov/types/breast/patient/breast-prevention-pdq 7. ภรณี เหล่าอิทธิ นภา ปริญญานิติกูล. มะเรงเต้านม : ระบาดวิทยา การป้องกันและแนวทางการตรวจคัดกรอง สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560. จากhttp://www.asianbiomed.org/htdocs/previous/201660497.pdf

บทความโดย ภญ.เสาวณีย์ อินจันทร์ เป็นภาวะที่ความถี่ในการถ่ายเพิ่มขึ้นและเนื้อของอุจจาระลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับสภาวะปกติของร่างกาย ฟรี ปรึกษาอาหารเสริม เครื่องสำอางและความงาม ตามหลักการแพทย์โดยเภสัชกร ได้ที่ Facebook : GURUCHECK เช็ค กับ กูรู เช็ค ...อาการท้องเสีย อาการที่ถ่ายอุจจาระเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป หรือถ่ายเป็นมูกเลือดตั้งแต่ 1 ครั้งขึ้นไป ภายใน 24 ชั่วโมง ในบางรายอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น อาการตะคริวที่บริเวณหน้าท้อง ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อ่อนเพลีย รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว และมีไข้ อาการเหล่านี้หากมีอาการไม่เกิน 2 สัปดาห์ จะเรียกว่า ท้องเสียเฉียบพลัน แต่หากนานเกิด 2 สัปดาห์จะเรียกว่า ท้องเสียเรื้อรัง เช็ค ...สาเหตุการท้องเสีย ท้องเสียเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้ การติดเชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อนของเชื้อ Campylobacter, Salmonella, Shigellaหรือ Escherichia coli (E. coli) เข้าไปในร่างกาย การติดเชื้อไวรัส ที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสีย เช่น rotavirus, norovirus, cytomegalovirus ฯลฯ โดยเชื้อไวรัสrotavirus เป็นสาเหตุของการเกิดอาการท้องเสียในเด็กมากที่สุด ซึ่งสามารถหายได้ภายใน 3-7 วัน แต่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาในการย่อยและดูดซึมแล็กโทสที่พบในน้ำนมได้ การได้รับเชื้อปรสิต โดยเข้าสู่ร่างกายผ่านอาหารและน้ำที่ปนเปื้อน และอาศัยอยู่ในระบบย่อยอาหารของคนเรา เชื้อปรสิตที่มักพบ คือ Giardia lamblia, Entamoebahistolyticaและ Cryptosporidium โรคระบบทางเดินอาหารและระบบลำไส้ผิดปกติ เช่น โรคโครห์น (Crohn’s Disease) โรคลำไส้อักเสบ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง โรคเซลิแอคหรือแพ้กลูเตน โรคลำไส้แปรปรวน แพ้อาหารหรือธาตุอ่อน มีปัญหาในการย่อยสารอาหารบางประเภทหรือที่เรียกว่า ภูมิแพ้อาหาร เช่น การแพ้แล็กโทส ซึ่งเป็นน้ำตาลที่พบมากในนม หรือสารทดแทนความหวานในปริมาณมาก การตอบสนองต่อยาบางประเภท เช่น ยาปฏิชีวนะ ยารักษาโรคมะเร็ง และยาลดกรดที่มีแมกนีเซียม ก็สามารถทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ การผ่าตัดกระเพาะอาหารบางส่วนออกไป อาจเกิดภาวะการดูดซึมอาหารที่ผิดปกติ เนื่องจากเชื้อโรคที่ปนเปื้อนในอาหารไม่ถูกย่อยทำลายเมื่อเข้าสู่กระเพาะอาหาร จึงเล็ดลอดไปสู่ลำไส้เล็กและสร้างสารพิษขึ้น ส่งผลให้ผนังลำไส้เล็กเกิดอาการอักเสบ ไม่สามารถดูดซึมน้ำและอาหารได้เป็นปกติ ทำให้เกิดอาหารท้องเสียขึ้น กลุ่มที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เช่น อาหารเป็นพิษ เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย อาเจียน อย่างเฉียบพลันและมักรุนแรง มักเกิดภายหลังรับประทานอาหารได้สัก 1-2 ชั่วโมง เช็ค ...ยาที่ใช้รักษาท้องเสีย ยาที่ใช้รักษาจะแบ่งตามลักษณะอาการของผู้ป่วย การใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อเพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสีย มักจะพิจารณาให้การรักษาเฉพาะในผู้มีอาการท้องเสียที่ถ่ายเป็นมูกเลือด หรือผู้มีอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำหรือน้ำซาวข้าวที่มีอาการแสดงของการขาดน้ำ ตัวอย่างยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาอาการท้องเสีย ชื่อตัวยา ตัวอย่างชื่อยี่ห้อ กลไกการออกฤทธิ์ วิธีใช้ 1.Norfloxacin (นอร์ฟล็อกซาซิน) เล็กซินอร์ Lexinor นอร์ซาซิน Norxacin ยับยั้งการทำงานของสารเคมีบางตัว เช่น สารดีเอ็นเอไจเรส (DNA Gyrase) ซึ่งอยู่ในขบวนการสร้างสารพันธุกรรมในแบคทีเรีย ส่งผลทำให้การขยายตัวและแพร่พันธุ์ของแบคทีเรียลดลง ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้งก่อนอาการ เช้า เย็น ควรใช้ติดต่อกันประมาณ 3 - 5 วัน 2.Ciprofloxacin (ไซโปรฟลอกซาซิน) Cifloxin (ซิโฟลซิน) ออกฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์สารพันธุกรรมของแบคที เรียที่เรียกว่า ดีเอนเอ (DNA) จึงส่งผลยับยั้งการแพร่พันธุ์ของแบคทีเรีย ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 250-500 มิลลิกรัม ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค วันละ 2 ครั้ง หลังอาการ เช้า เย็น ควรใช้ติดต่อกันประมาณ 3 - 5 วัน 2.ผู้ที่มีอาการท้องเสียแบบถ่ายเหลวไม่มีเลือดปน และไม่มีอาการขาดน้ำ ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อแนะนำให้ดื่มสารละลายเกลือแร่ (Oral rehydration salts, ORS) เพื่อป้องกันอาการขาดน้ำและเกลือแร่ที่เสียไปจากการท้องเสีย ซึ่งวิธีการรับประทานเกลือแร่ที่ถูกต้องคือ ควรให้ผู้ป่วยจิบรับประทานสารละลาย ORS ในปริมาณน้อยๆ ไปเรื่อยๆ แต่จิบบ่อยๆ 3.ยารักษาตามอาการที่ผู้ป่วยเป็น เช่น ท้องเสีย ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ตัวอย่างยาที่ใช้รักษาตามอาการที่เป็นร่วมกับอาการท้องเสีย ชื่อตัวยา ตัวอย่างชื่อยี่ห้อ กลไกการออกฤทธิ์ วิธีใช้ 1. Bismuth subsalicylate (บิสมัท ซับซาลิไซเลต) Gastro-bismol แกสโตรบิสมอล ช่วยยับยั้งการหลั่งสารน้ำ (เช่น กรดและเอนไซม์ต่างๆ) ในทางเดินอาหาร และลดการอักเสบของผนังกระเพาะอาหารและลำไส้ ส่วนบิสมัทจะออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร จึงช่วยรักษาและป้องกันอาการท้องเสียได้ รับประทานครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น 2. Hyoscine (ไฮอสซีน) Buscopan บุสโคพาน ตัวยาไฮออสซีนจะมีกลไกการออกฤทธิ์โดยการเข้าไปแข่งขันและยับยั้งการทำงานของตัวรับ (Receptor) ที่ชื่อว่า มัสคารินิก ทำให้กล้ามเนื้อเรียบของอวัยวะภายในเกิดการคลายตัว จึงลดอาการปวดเกร็งช่องท้องได้ รับประทานครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น 3. Domperidone (ดอมเพอริโดน) Motilium ยาโมทิเลียม กระตุ้นให้หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก มีการบีบและเคลื่อนตัวได้มากขึ้น ทำให้ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน รับประทานครั้งล่ะ 1 เม็ด ก่อนอาหาร เช้า กลางวัน เย็น เช็ค ...การปฏิบัติตัวเมื่อท้องเสีย 1. พักผ่อน หยุดงาน หรือหยุดเรียน 2. ดื่มน้ำมากๆ ดื่มน้ำผงเกลือแร่ เมื่อถ่ายเป็นน้ำหรือรู้สึกปากแห้ง 3. กินอาหารอ่อน อาหารเหลว หรืออาหารรสจืด 4. ยังไม่ควรกินยาหยุดท้องเสียด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว อาจกินยาลดไข้ บรรเทาอาการปวดท้อง 5. รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น เช็ค ...อาการท้องเสียที่ควรรีบพบแพทย์ อาการท้องเสียไม่ดีขึ้นภายใน 1 - 2 วัน (ในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือคนมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ ควรพบแพทย์เมื่ออาการท้องเสียไม่ดีขึ้นภายใน 1 วัน) ปวดท้องมาก และ/หรือ คลื่นไส้ อาเจียน และ/หรือ ตัว/ตาเหลือง มีไข้สูง อุจจาระเป็นมูก หรือมูกเลือด หรือมีสีดำและเหนียวเหมือนยางมะตอย (อาการของการมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร อ้างอิงจาก 1. Health Organization. Diarrhea Treatment Guidelines. The MOST Project; 2005. 2. World Gastroenterology Organization. Acute diarrhea in adults and children: a global perspective [Internet]. 2012 [Cited 2014 Aug 3]. Available from: http://www.worldgastroenterology.org. 3. ดร.ปริญญา อรุโณทยานันท์. เกลือเพื่อชีวิต [Internet]. [Cited 2014 Aug 31]. Available from: https://www.gpo.or.th/rdi/html/ors.html. 4. สมาคมแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย. แนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วย โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันในผู้ใหญ่. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ชุมชุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย; 2546. 5. https://www.pobpad.com/ 6. http://haamor.com/th/

เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะรุนแรงชนิดหนึ่ง จะรู้สึกปวดตุบ ๆ รุนแรง โดยมักปวดบริเวณศีรษะข้างเดียว หรือปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงปวดสองข้าง ในขณะที่ปวดก็มักมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย และอาจมีความรู้สึกไวต่อเสียงและแสงสว่างมากกว่าปกติ บทความโดย ภญ.เสาวณีย์ อินจันทร์ ฟรี ปรึกษาอาหารเสริม เครื่องสำอางและความงาม ตามหลักการแพทย์โดยเภสัชกร ได้ที่ Facebook : GURUCHECK เช็ค กับ กูรู เช็ค ...อาการของไมเกรน มีอาการปวดศีรษะข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง มีอาการปวดแบบตุบ ๆ แสงจ้า เสียงดัง และกลิ่นฉุนจะกระตุ้นให้ปวดมากขึ้น มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว มองเห็นภาพไม่ชัด มีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด หรือเป็นลม เช็ค ...สาเหตุของไมเกรน ไมเกรนเป็นผลจากความผิดปกติชั่วคราวในการทำงานของสมองที่มีผลกระทบต่อเส้นประสาท สารเคมี และหลอดเลือดในสมอง แต่สาเหตุที่แท้จริงของไมเกรนนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายปัจจัยดังนี้ 1. ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ช่วงมีประจำเดือน ระหว่างตั้งครรภ์ ช่วงหมดประจำเดือน หรือการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด 2. อาหารบางชนิด เช่น ชีส ไวน์แดง ช็อคโกแล็ต น้ำตาลเทียม ผงชูรส ชา และกาแฟ 3. การกระตุ้นทางประสาทสัมผัส อาทิ แสงจ้า เสียงดัง กลิ่นฉุน กลิ่นบุหรี่ 4. รูปแบบการนอนที่เปลี่ยนไป เช่น นอนดึก นอนไม่พอ หรือนอนมากเกินไป 5. สิ่งแวดล้อม เช่น อากาศร้อน ฝุ่นควัน 6. ยาบางชนิด เช็ค …ยาที่ใช้รักษาอาการไมเกรน ชื่อตัวยา ตัวอย่างชื่อยี่ห้อ กลไกการออกฤทธิ์ วิธีใช้ 1.Paracetamol พาราเซตามอล Tylenol ไทลินอล Sara ซาร่า บรรเทาปวดและลดไข้ โดยยับยั้งการสร้างสารเคมีบางตัวในสมองของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับอาการปวด เช่น สารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) และจะชักนำให้เกิดกลไกการลดอุณหภูมิหรือลดไข้ของร่างกายลง เด็ก 10-15 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง (หากจำเป็น) ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ 500 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง ไม่เกิน 4,000 มิลลิกรัม ต่อวัน *ไม่ควรทานต่อเนื่องนานติดต่อกันเกิน 5 - 7 วัน 2.Ibuprofen ไอบูโปรเฟน Nurofen นูโรเฟน Gofen โกเฟน ยับยั้งการทำงานของสารไซโคลออกซิจีเนส (Cyclooxygenase)ซึ่งจะไปเปลี่ยนสารเคมีบางกลุ่มให้กลายเป็นสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) โพรสตาแกลนดินเป็นตัวชักนำให้เกิดอาการปวด การอักเสบ และก่อให้เกิดอาการไข้ของร่างกาย นอกจากนั้นไอบูโปรเฟนยังสามารถออกฤทธิ์โดยตรงที่สมองและบริเวณอวัยวะที่มีอาการปวดได้ เด็ก ให้รับประทานยาวันละ 30-50 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยแบ่งให้ทุก 6 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินวันละ 2,400 มิลลิกรัม) ผู้ใหญ่ ให้รับประทานยาครั้งละ 400-800 มิลลิกรัม วันละ 3-4 ครั้ง *ควรรับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันทีเพื่อลดการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร 3.Ergotamine + Caffeine ยาเออร์โกตามีนผสมคาเฟอีน Cafergot คาเฟอร์กอท Tofago โทฟาโก ทำให้หลอดเลือดที่ขยายตัวผิดปกติเกิดการหดตัวลงและทำให้อาการปวดศีรษะหายไป รับประทานเมื่อมีอาการปวดศีรษะไมเกรนในครั้งแรก 1 หรือ 2 เม็ด จากนั้นทุกๆ ครึ่งชั่วโมงหากอาการไม่ดีขึ้นสามารถรับประทานซ้ำอีกครั้งละ 1 เม็ด แต่ห้ามรับประทานเกิน 6 เม็ดต่อวัน และห้ามรับประทานยาเกิน 10 เม็ด ต่อสัปดาห์ *ห้ามใช้ยานี้ในหญิงตั้งครรภ์ เช็ค ...ยาป้องกันไมเกรน ใช้ในกรณีที่มีอาการปวดไมเกรนบ่อย เช่น เกิน 2 ครั้งต่อเดือน การเกิดอาการปวดแต่ละครั้งรุนแรง หรือผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานยาในกลุ่มที่ใช้รักษาอาการปวดไมเกรนแบบเฉียบพลันได้ 1 ยาสกัดเบต้า (β-blocker) ได้แก่ โพรพราโนลอล(propranolol) มีประสิทธิภาพในการป้องกันไมเกรน 55-84% 2 ยาต้านซีโรโตนิน (Anti-serotonin) ได้แก่ ไซโปเฮบตาดีน(cypoheptadine) ซึ่งเป็นยาที่ทำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพในการป้องกันประมาณ 50% 3 ยาแคลเซียมแอนทาโกนิส (Calcium antagonist) ได้แก่ ฟลูนาริซีน(Flunarizine) สามารถป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรนได้ ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ ยาสกัดเบต้า 4 กลุ่มยากันชัก ที่สามารถนำมาใช้ในการป้องกันการเกิดไมเกรนได้ ได้แก่ โซเดียมวาลโปรเอต โทพิราเมท(Sodium valproate) และกาบ้าเพนติน(Gabapentin) ขนาดยาที่ใช้ป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรนจะน้อยกว่าที่ใช้ในการรักษาโรคลมชัก 5 กลุ่มยา Tricyclic Antidepressants เช่น amitriptyline, nortriptyline, and doxepin มีประโยชน์ในผู้ป่วยนอนไม่หลับและมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย แต่อาจมีผลทำให้ปากแห้ง คอแห้ง ง่วงนอน และน้ำหนัก เช็ค ...ตัวอย่างโรคที่มีอาการปวดศีรษะเรื้อรัง หรือปวดมากคล้ายไมเกรน 1. ปวดศีรษะจากความเครียด (tension headache) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหนัก ๆ มึน ๆ บริเวณรอบศีรษะหรือท้ายทอยติดต่อกันนานเป็นชั่วโมง ๆ เป็นวัน ๆ หรือเป็นสัปดาห์ โดยปวดพอทนอย่างคงที่ต่อเนื่อง และยังทำกิจวัตรประจำวันได้ จะทุเลาเมื่อหายเครียดหรือได้ยาบรรเทา 2. เนื้องอกสมอง (brain tumor) พบได้ในคนทุกวัย ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหน่วง ๆ ตึง ๆ ทั่วศีรษะตอนเช้ามืด (ขณะกำลังตื่นนอน) พอตกสาย ไปทำงานหรือเรียนหนังสือก็หายไปเอง เป็นแบบนี้อยู่ทุกเช้า หรือปวดรุนแรง มีอาการอาเจียนบ่อย อาจมีอาการเดินเซ แขนขากระตุกหรืออ่อนแรงตามมาใน 3. หลอดเลือดสมองแตก (cerebral hemorrhage) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดทั่วศีรษะฉับพลันและรุนแรงต่อเนื่องเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ กินยาแก้ปวดไม่ทุเลา แต่ยังรู้สึกตัวดี ต่อมาก็จะแตก มีเลือดออกมาก ผู้ป่วยจะปวดรุนแรงมาก อาเจียน และหมดสติ หากเป็นตรงส่วนสำคัญ ก็จะเสียชีวิต 4. ต้อหินเฉียบพลัน (acute glaucoma) มักพบในวัยกลางคนขึ้นไปที่มีโครงสร้างของลูกตาผิดปกติซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรม ช่วงที่มีอาการกำเริบเนื่องเพราะน้ำเลี้ยงภายในลูกตาเกิดการอุดกั้น ทำให้ความดันภายในลูกตาเพิ่มขึ้นฉับพลัน อ้างอิง 1. https://www.bangkokhospital.com 2. http://www.med.cmu.ac.th/nnc/2007/tip/mikirn.htm 3. http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article 4. http://www.xn--42c6au4awb1a2c8i.com/known.html 5. http://haamor.com/th/ 6. Dr Richard P Kraig, Migraine, University of Chicago 2008-07-24 , 7. http://health-fts.blogspot.com/2012/04/migraine.html 8. นพ.มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์, ไมเกรน, http://vatchainan2.blogspot.com/2013/04/2.html

บทความโดย นพ.สุพจน์ สุไพบูลย์พิพัฒน์ สำหรับคุณผู้หญิง ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดก็ตาม ถ้ามีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติอาจพาลคิดไปว่าเป็นมะเร็ง ซึ่งไม่เสมอไป เพราะเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอดนั้นเกิดได้หลายสาเหตุ ฟรี ปรึกษาอาหารเสริม เครื่องสำอางและความงาม ตามหลักการแพทย์โดยเภสัชกร ได้ที่ Facebook : GURUCHECK เช็ค กับ กูรู เช็ค ...สาเหตุของเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด โดยสาเหตุของภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ที่พบมากที่สุด คือ ภาวะมีเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูก ซึ่งแบ่งตามช่วงอายุได้ 3 ช่วงคือ 1.ช่วงก่อนมีประจำเดือน (premenarche) 2.ช่วงวัยเจริญพันธุ์ (reproductive-age) 3.ช่วงหลังวัยหมดประจำเดือน (postmenopausal) 1.เลือดออกทางช่องคลอดช่วงก่อนมีประจำเดือน หรือในเด็กๆ เลือดที่ออกทางช่องคลอดในเด็กหญิงก่อนมีประจำเดือนครั้งแรก อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น 1.1 วัยรุ่นก่อนกำหนด คือ มีการเจริญเติบโตของลักษณะทางเพศก่อนอายุ 9 ปี เช่น เต้านมใหญ่ขึ้น มีขนที่รักแร้ และหัวหน่าว มีประจำเดือนมา เป็นต้น เลือดที่ออกทางช่องคลอดในเด็กหญิงที่มีอายุน้อยกว่า 9 ปี แต่ลักษณะทางเพศเปลี่ยนแปลงเป็นวัยสาวแล้ว ถือว่าเป็นเลือดประจำเดือนได้ แต่เป็นเลือดประจำเดือนที่เกิดในอายุน้อยกว่าที่ควร ซึ่งมักจะมีสาเหตุมาจากมะเร็งของรังไข่หรือต่อมหมวกไต เด็กหญิงที่มีประจำเดือนก่อนอายุอันควรจึงควรไปตรวจที่โรงพยาบาล เพื่อหาดูว่ามีสาเหตุที่ผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีจะได้รักษาให้หายขาดแต่เนิ่นๆ 1.2 การบาดเจ็บบริเวณอวัยวะเพศภายนอก เช่น หกล้มก้น เป็นต้น 1.3 สิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด เด็กเล็กๆ มักจะซุกซนและชอบสอดและดันสิ่งต่างๆเข้าไปในช่องคลอดทำให้เกิดการอักเสบได้ 1.4 ปัสสาวะเป็นเลือด หลายครั้งก็เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเลือดออกทางช่องคลอด 1.5 เนื้องอกหรือมะเร็งในช่องคลอดหรือมดลูก แต่เป็นสาเหตุที่พบน้อยในเด็ก 2.เลือดออกทางช่องคลอดในวัยเจริญพันธุ์ เลือดออกทางช่องคลอดในวัยเจริญพันธุ์ หลังจากประจำเดือนแรก จนถึงวัยที่กำลังหมดประจำเดือน เลือดอาจจะออกทางช่องคลอด โดยมีสาเหตุดังนี้ 2.1 ประจำเดือนผิดปกติ แบ่งเป็น 3 ลักษณะ ซึ่งแนะนำให้ไปพบแพทย์ ประจำเดือนมามากเกินไป ถ้าประจำเดือนมามากจนมีก้อนเลือดหรือลิ่มเลือดใหญ่ๆ ปนออกมา หรือใช้ผ้าอนามัยมากกว่า 10 ชิ้น และแต่ละชิ้นชุ่มเลือด ประจำเดือนมานานเกินกว่า 7 วันหรือกะปริดกะปรอย ประจำเดือนมาบ่อยเกินไป คือมีช่วงระหว่างประจำเดือนน้อยกว่า 21 วัน 2.2 ผู้หญิงอายุน้อยที่เกิดจากการตั้งครรภ์แล้วมีภาวะแทรกซ้อน เช่น แท้งบุตร 2.3 เลือดกลางเดือน หรือเลือดที่ออกจากช่องคลอดเพราะไข่ตก 2.4 เลือดที่ออกจากความผิดปกติของอวัยวะเพศ เช่น มดลูก คอ ปีกมดลูกอักเสบ เนื้องอก 2.5 เลือดที่ออกจากความผิดปกติของฮอร์โมนเพศ เช่น จากการกินยาคุมไม่สม่ำเสมอ หรือยาสมุนไพรที่ส่งผลกระทบต่อฮอร์โมน จะทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอดได้ 2.6 ผู้หญิงในวัยที่เพิ่งเริ่มมีประจำเดือน เช่น อายุ 13 ปี หรือวัยใกล้หมดประจำเดือน เช่น อายุ 49 ปี มักมีภาวะฮอร์โมนแปรปรวน ซึ่งเป็นสาเหตุของเลือดออกผิดปกติ 2.7 ผู้หญิงที่อยู่ในภาวะเครียด เช่น ใกล้สอบ นอนดึก ทะเลาะกับแฟน ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มีฮอร์โมนแปรปรวน ซึ่งเป็นสาเหตุของเลือดออกผิดปกติ 2.8 การติดเชื้อบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์สตรี เช่น ปากมดลูก หรือเยื่อบุโพรงมดลูก ก็สามารถทำให้เกิดแผลแล้วมีเลือดออกได้ 2.9 มะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มีเลือดออกผิดปกติในผู้หญิงที่พบได้บ่อยเช่นกัน 3. เลือดออกทางช่องคลอดหลังวัยหมดประจำเดือน เกิดจากสาเหตุ เช่น 3.1 ประจำเดือนยังไม่หมดดี นั่นคือ ในวัยที่ประจำเดือนใกล้จะหมด ประจำเดือนอาจจะมาบ้างไม่มาบ้าง เนื้องอกหรือมะเร็งของคอมดลูก หรือมดลูก เป็นสาเหตุที่พบบ่อยอย่างหนึ่งของภาวะเลือดออกทางช่องคลอดหลังหมดประจำเดือนแล้ว 3.2 การกินยาปรับฮอร์โมนเพื่อลดอาการวัยทอง 3.3 ช่องคลอดอักเสบและบาง ในวัยหมดประจำเดือนผนังช่องคลอดจะบางและอักเสบง่าย ทำให้มีเลือดออกมาเล็กๆ น้อยๆ ได้ 3.4 การบาดเจ็บ เช่น หกล้ม เป็นต้น เช็ค ...อาการเลือดออกผิดปกติที่อาจเกิดจากมะเร็ง 1.มีเลือดออกจากช่องคลอดกระปริดกระปรอย เช่น มีเลือดออกทุกวันหรือวันเว้นวัน 2. มีรอบประจำเดือนเร็วกว่า 21 วัน 3. มีเลือดออกนอกรอบประจำเดือน 4.มีเลือดออกจากช่องคลอดปริมาณมากเป็นก้อน ๆ หรือใช้ผ้าอนามัยมากกว่าวันละ 5 ผืน 5. มีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ 6. มีเลือดออกหลังจากเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนไปแล้ว เช็ค ...การรักษาภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ผู้หญิงที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด แพทย์อาจตรวจภายในและตรวจหามะเร็งปากมดลูกไปพร้อมกัน โดยใช้เวลาตรวจไม่เกิน 5 นาที แต่ถ้าแพทย์ยังไม่สามารถหาสาเหตุของเลือดออกผิดปกติที่แน่ชัดได้ ก็อาจจำเป็นต้องขอส่งตรวจวิธีพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ตรวจอัลตราซาวน์ด หรือถ้าจำเป็นจริง ๆ แพทย์ก็อาจขอขูดมดลูกเพื่อนำชิ้นเนื้อไปตรวจวินิจฉัยหาเซลล์มะเร็งต่อไป เช็ค ...การป้องกันภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด 1.รับประทานยา โดยเฉพาะยากลุ่มฮอร์โมนตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรอย่างเคร่งครัด และควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนานยาทุกครั้ง 2.รักษาสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รักษาอารมณ์ให้แจ่มใส ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ 3.ผู้หญิงทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว หรือผู้หญิงโสดที่มีอายุเกินกว่า 35 ปี ทุกคน ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อรับการตรวจภายในประจำปี อ้างอิง 1. รศ.นพ.พีรพงศ์ อินทศร. เลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด : สัญญาณอันตราย. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2560. จาก http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=665 2. น.พ.ธนัท จิรโชติชื่นทวีชัย อ.พ.ญ. ทวิวัน พันธศรี. ภาวะเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูก(Abnormal uterine bleeding). สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2560. จาก http://www.med.cmu.ac.th/dept/obgyn/2011/index.php?option=com_content&view=article&id=959:abnormal-uterine-bleeding&catid=45&Itemid=561 3. ศ.นพ.สันต์ หัตถีรัตน์. การตรวจรักษาอาการ“เลือดออก” (10) เลือดออกทางช่องคลอด. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2560. จาก https://www.doctor.or.th/article/detail/3783 4. ศ.นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ การตรวจรักษาอาการ “เลือดออก” (ตอน11). สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2560. จาก https://www.doctor.or.th/article/detail/3802
รู้สึกว่าหน้าใสขึ้นหลังจากใช้ประมาณ 2 สัปดาห์ แต่หน้าก็มันขึ้นด้วยค่ะ ตอนนี้เลยไม่ได้ใช้แล้ว