Laneige
Laneige Water Sleeping Mask (15ml x2)
Description
แพ็คคู่ Laneige Water Sleeping Mask (15ml x2) สลีปปิ้งมาสก์ยอดนิยมที่ขายดีตลอดกาล เพิ่มเทคโนโลยีในการซ่อมแซมผิวที่เสียหายระหว่างวัน เติมความชุ่มชื้นตลอดคืน เพื่อผิวสดชื่นเปล่งปลั่ง กระจ่างใส พร้อมรับวันใหม่ยามเช้า
How to use
หลังขั้นตอนการบำรุงผิว ทา Laneige Water Sleeping Mask ทั่วใบหน้าก่อนเข้านอน ควรใช้ต่อเนื่องเป็นประจำ
Ingredients
Hunza Apricot Extract, Evening Primrose Root extract, Apricot Fruit Extract, Beta – Glucan, Quinoa Seed Extract Laneige Water Sleeping Mask เนื้อเจลบางเบาที่มอบสัมผัสเย็นสดชื่น และกลิ่นหอมนุ่มนวลจากพืชพรรณธรรมชาตินานาชนิด ได้แก่ Orange Flower, Rose, Ylang Ylang and Sandalwood Oil มีส่วนช่วยลดความตึงเครียด ทำให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น ลาเนจ (Laneige) ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า “หิมะ” ผลิตภัณฑ์ของลาเนจจึงเน้นการเติมเต็มความชุ่มชื่นสู่ผิวด้วยน้ำ สร้างสมดุลในการใช้ผลึกหิมะผสานกับการวิจัยทางเทคโนโลยีโดยผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่ปี 1994 ซึ่งนับเป็นเวลายาวนานกว่า 15 ปี คิดค้นและทดสอบผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยเติมเต็มความชุ่มชื่นและอ่อนวัย เพื่อผิวเปล่งปลั่งสดใสที่คุณปรารถนา
Suggestion
-
Benefit( ผลลัพธ์หลังการใช้ )
2.0 Vote(s)
6
0.0 Vote(s)
6
1.0 Vote(s)
6
0.0 Vote(s)
6
0.0 Vote(s)
6
0.0 Vote(s)
6
0.0 Vote(s)
6
0.0 Vote(s)
6
0.0 Vote(s)
6
2.0 Vote(s)
6
1.0 Vote(s)
6
0.0 Vote(s)
6
3.0 Vote(s)
6
3.0 Vote(s)
6
0.0 Vote(s)
6
3.0 Vote(s)
6
Details Product
Laneige Water Sleeping Mask สลีปปิ้งมาสก์สูตรปรับปรุงใหม่ เพิ่มเทคโนโลยีอันเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Laneige ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงและฟื้นฟูผิวให้ล้ำลึก และยาวนานตลอด 8 ชั่วโมงของการพักผ่อนยามค่ำคืน เพื่อผลลัพธ์ที่ได้คือ ผิวเปล่งปลั่ง กระจ่างใส ดูเนียนนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติในยามตื่นนอน
Laneige Sleep Tox เทคโนโลยีใหม่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ Laneige ผสานคุณประโยชน์จาก Hunza Apricot Extract และ Evening Primrose Root Extract ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งและสดใสในตอนเช้า ภายหลังจากพักผ่อนอย่างเต็มที่ตลอดคืน
Laneige Moisture Wrap ซ่อมแซมและฟื้นฟูสภาพผิวที่เสียหายจากสภาพมลภาวะและปัจจัยอื่นๆ ด้วย Biopolymer mineral ที่ทำหน้าที่คล้ายแผ่นฟิล์มที่เคลือบผิวหน้าเอาไว้ ช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซึมสารอาหารและความชุ่มชิ่นสู่ผิวอย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น
• สารต้านอนุมูลอิสระจาก Hunza Apricot Extract ช่วยคืนความกระจ่างใส
• เนื้อเจลบางเบา ซึมสู่ผิวได้ดีเยี่ยม ไม่ทำให้ผิวมันเยิ้ม
• มอบความชุ่มชื่นและการบำรุงเต็มประสิทธิภาพตลอดคืน
• ผิวเปล่งปลั่งกระจ่างใสในยามตื่นนอน
• ผิวสุขภาพดีจะช่วยให้ Make up ติดทนนานยิ่งขึ้น

เป็นเครื่องสำอางที่ใช้อยู่เป็นประจำใช่หรือไม่ : ไม่ได้ใช้เป็นประจำ
รีวิวผลิตภัณฑ์เมื่อ : เริ่มใช้
ผลลัพธ์หลังการใช้ :
ซื้อผลิตภัณฑ์จาก : แบรนด์ชอป
ใช้ดีมากกกก ตื่นเช้ามาน้าเด้ง แต่งหน้าติด ดีงามค่าาาาา
ผลลัพธ์หลังการใช้
ความสม่ำเสมอในการใช้
ไม่ได้ใช้เป็นประจำ
รีวิวเมื่อ
เริ่มใช้
ซื้อผลิตภัณฑ์จาก
แบรนด์ชอป

ตื่นเช้ามาแล้วหน้านุ่มมาก ชอบๆค่ะ
เป็นเครื่องสำอางที่ใช้อยู่เป็นประจำใช่หรือไม่ : ใช้เป็นประจำ
รีวิวผลิตภัณฑ์เมื่อ : กำลังใช้
ผลลัพธ์หลังการใช้ : ขาวกระจ่างใส กระชับรูขุมขน ควบคุมความมัน เต่งตึง อุ้มน้ำ ผิวชุ่มชื่น อ่อนโยน
ซื้อผลิตภัณฑ์จาก : เคาท์เตอร์เครื่องสำอาง
ตื่นเช้ามาแล้วหน้านุ่มมาก ชอบๆค่ะ
ผลลัพธ์หลังการใช้
ขาวกระจ่างใส กระชับรูขุมขน ควบคุมความมัน เต่งตึง อุ้มน้ำ ผิวชุ่มชื่น อ่อนโยน
ความสม่ำเสมอในการใช้
ใช้เป็นประจำ
รีวิวเมื่อ
กำลังใช้
ซื้อผลิตภัณฑ์จาก
เคาท์เตอร์เครื่องสำอาง

ใช้แล้วตื่นเช้ามาผิวเด้งมากกก แต่งหน้าก็ติดง่ายขึ้นค่ะ
เป็นเครื่องสำอางที่ใช้อยู่เป็นประจำใช่หรือไม่ : ใช้เป็นประจำ
รีวิวผลิตภัณฑ์เมื่อ : เริ่มใช้
ผลลัพธ์หลังการใช้ : ขาวกระจ่างใส กระชับรูขุมขน เต่งตึง อุ้มน้ำ ผิวชุ่มชื่น อ่อนโยน
ซื้อผลิตภัณฑ์จาก : เคาท์เตอร์เครื่องสำอาง
ใช้แล้วตื่นเช้ามาผิวเด้งมากกก แต่งหน้าก็ติดง่ายขึ้นค่ะ
ผลลัพธ์หลังการใช้
ขาวกระจ่างใส กระชับรูขุมขน เต่งตึง อุ้มน้ำ ผิวชุ่มชื่น อ่อนโยน
ความสม่ำเสมอในการใช้
ใช้เป็นประจำ
รีวิวเมื่อ
เริ่มใช้
ซื้อผลิตภัณฑ์จาก
เคาท์เตอร์เครื่องสำอาง
you might also like

บทความโดย ภญ.เยาวธิดา เทพศิริ ฟรี ปรึกษาอาหารเสริม เครื่องสำอางและความงาม ตามหลักการแพทย์โดยเภสัชกร ได้ที่ Facebook : GURUCHECK เช็ค กับ กูรู เช็ค ...สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังท้อง 1.ประจำเดือนขาด ในกรณีที่มีสุขภาพปกติ มีประวัติประจำเดือนที่ปกติ หากประจำเดือนขาดนานกว่า 10 วันขึ้นไปหรือประจำเดือนขาดนับจากประจำเดือนครั้งสุดท้ายมากกว่า 45 วัน อาจสันนิฐานว่าเกิดการตั้งครรภ์ได้ 2.มีความรู้สึกไวต่อกลิ่นต่าง ๆ ผู้หญิงที่เพิ่งตั้งครรภ์จะมีความไวต่อการรับกลิ่น โดยเฉพาะกลิ่นของอาหาร อาจทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียนได้ง่ายเมื่อได้กลิ่นต่าง ๆ มากระตุ้น 3.คลื่นไส้ อาเจียน เป็นอาการที่พบได้บ่อย ในผู้หญิงบางคนก็อาจไม่พบอาการนี้ในช่วงแรกจนกระทั่งเข้าสู่การตั้งครรภ์ในเดือนแรกหรือเดือนที่ 2 4.เจ็บหน้าอก เนื่องจากหน้าอกมีการขยายขนาดคล้ายกับในช่วงประจำเดือนมา เนื่องจากฮอร์โมนที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงการตั้งครรภ์ 5.ท้องอืด ท้องเฟ้อ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในขณะตั้งครรภ์ช่วงแรกอาจส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อยขึ้นได้คล้าย ๆ กับช่วงก่อนประจำเดือนมา ช่วงนี้บางคนอาจรู้สึกเสื้อผ้าแน่นมากขึ้น 6.ปัสสาวะบ่อย การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนภายในร่างกาย ทำให้อัตราการไหลของเลือดเพิ่มขึ้นและไหลผ่านไปยังไตมากขึ้น ทำให้กระเพาะปัสสาวะรับน้ำมามากตามไปด้วย ผู้หญิงตั้งครรภ์จึงรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าปกติ 7.เหนื่อยง่าย เพลียง่าย สาเหตุเกิดจากระดับฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนอนมีระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงเกิดอาการแพ้ท้องร่วมด้วยทำให้เกิดอาการเพลียง่ายยิ่งกว่าเดิม 8.อารมณ์แปรปรวนง่าย เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย จึงทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวนได้ง่าย เช่น อารมณ์ดี เสียใจ หดหู่ กังวล ซึ่งการแสดงออกทางอารมณ์ในแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป สัญญาณเหล่านี้เป็นแค่อาการเบื้องต้น แต่อาจไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าเกิดการตั้งครรภ์หรือไม่ หากสงสัยว่าเกิดการตั้งครรภ์หรือไม่ แนะนำให้ใช้ชุดตรวจการตั้งครรภ์เพื่อทดสอบการตั้งครรภ์ เป็นการตรวจด้วยตนเองก่อนไปพบแพทย์ค่ะ อ้างอิงจาก 1.รองศาสตราจารย์นายแพทย์วิทยา ถิฐาพันธ์. อาการไม่สบายตอนท้อง…..เป็นอันตรายไหม?. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2560. จากhttp://www.si.mahidol.ac.th/th/department/obstretrics_gynecology/dept_article_detail.asp?a_id=424 2. Webmd. Pregnancy Symptoms. Retrieved June 12, 2017, from http://www.webmd.com/baby/guide/pregnancy-am-i-pregnant#1 3.American Pregnancy Association. Pregnancy symptoms—Early signs of pregnancy. Retrieved June 12, 2017, from http://www.americanpregnancy.org/gettingpregnant/earlypregnancysymptoms.html

เพื่อนๆเคยสงสัยไหมค่ะ ว่าพุงมาจากไหน จริงๆ แล้วพุงมีหลายแบบนะคะ ไปดูกันค่ะ ว่ามีแบบไหนบ้าง บทความโดย กูรูอ้อมมี้ ฟรี ปรึกษาอาหารเสริม เครื่องสำอางและความงาม ตามหลักการแพทย์โดยเภสัชกร ได้ที่ Facebook : GURUCHECK เช็ค กับ กูรู เช็ค ...คุณมีพุงแบบไหน? ภาพจาก Bellybreak.com 1.spare tyre tummy พุงนุ่มสะสมเป็นชั้นๆ เกิดจากชอบกินของหวาน ขาดการออกกำลังกาย หากงดกินจุบจิบ ลดแป้งลด น้ำตาล งดดื่มแอลกอฮอล์ งดเครื่องดื่มน้ำตาลสูงต่างๆ รับประทานผักสด อาหารสด ออกกำลังกายมากๆสม่ำเสมอ ก็จะช่วยได้ค่ะ 2.stress tummy มีพุงแข็งคล้ายท้องอืดยื่น ช่วงกะบังลม หรือ ใต้ลิ้นปี่ถึงสะดือ สาเหตุหลักเกิดจากคุณเป็นคนทำงานหนัก เอาจริงเอาจัง เครียด กินไม่เป็นเวลาจนระบบลำไส้ผิดปกติ ร่างกายผลิตคอร์ติซอล ที่ทำให้เกิดไขมันบริเวณหน้าท้องให้คลายความเครียด การรับทานอาหารตรงเวลา ไม่นอนดึก ลดคาเฟอีน ออกกำลังกายประเภทโยคะแทนคาดิโอหนักๆจะช่วยลดพุงประเภทนี้ได้ค่ะ 3.little pooch tummy ร่างกายทั่วไปผอม แต่มีพุงสะสมน้อยๆถึงมากช่วงท้องน้อย คุณอาจมีพุงน้อยๆทั้งๆที่เป็นคนแอคทีฟและออกกำลังกายเป็นประจำ แต่เป็นการออกกำลังกายท่าเดิมประจำ การซิทอัพผิดวิธีอาจทำให้กล้ามเนื้อสะสมยื่นได้ ลองเปลี่ยนพฤติกรรมก จากการทานอาหารเดิมๆซ้ำๆที่อาจทำให้ไขมันสะสมโดยไม่รู้ตัว เป็นอาหารเส้นใยสูงผักใบเขียวจะช่วยได้ค่ะ 4.mummy tummy พุงคุณแม่หลังคลอดมดลูกยังไม่เข้าอู่ คุณแม่หลังคลอด อย่าเพิ่งรีบร้อนออกกำลังกายให้ร่างกายเข้าที่ใน 2-3 เดือนนะคะ การออกกำลังกายประเภทเสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อท้องช่วงล่าง รับประทานไขมันที่ดีจากถั่ว มะกอก และ น้ำมันปลาอาจพักผ่อนเล็กน้อยตอนกลางวัน และยืดเส้นสายเล็กน้อยก่อนเข้านอนเพื่อช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้นค่ะ 5.bloated tummy หน้าท้องแบนในตอนเช้า แต่ท้องอืด และ เกิดแก๊ส พุงป่องในตอนเย็น ให้ลองสังเกตอาหารที่กินแล้วอึดอัด เช่น พิซซ่า ขนมปัง เค้ก นม เนย ชีส ลองงดแล้วสังเกตว่าระบบย่อย ดีขึ้นรึป่าว ลองปรับเปลี่ยนไปทานอาหารย่อยง่าย เช่น ปลา ผัก รับประทานเป็นเวลามากขึ้น งดมื้อดึก ดื่มน้ำมากๆ และอาจเดินเล่นหลังอาหารเพื่อช่วยระบบย่อย ก็จะช่วยลดพุงแบบนี้ได้ค่ะ อ่านจบแล้วรีบดูพุงตัวเองกันเลย ใช่ไหมหละค่ะ ถ้ารู้แล้วว่าเป็นแบบไหนแล้วก็ลองแก้ไขตามนั้นเลยนะคะ

บทความโดย ภญ.เสาวณีย์ อินจันทร์ เป็นภาวะที่ความถี่ในการถ่ายเพิ่มขึ้นและเนื้อของอุจจาระลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับสภาวะปกติของร่างกาย ฟรี ปรึกษาอาหารเสริม เครื่องสำอางและความงาม ตามหลักการแพทย์โดยเภสัชกร ได้ที่ Facebook : GURUCHECK เช็ค กับ กูรู เช็ค ...อาการท้องเสีย อาการที่ถ่ายอุจจาระเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป หรือถ่ายเป็นมูกเลือดตั้งแต่ 1 ครั้งขึ้นไป ภายใน 24 ชั่วโมง ในบางรายอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น อาการตะคริวที่บริเวณหน้าท้อง ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อ่อนเพลีย รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว และมีไข้ อาการเหล่านี้หากมีอาการไม่เกิน 2 สัปดาห์ จะเรียกว่า ท้องเสียเฉียบพลัน แต่หากนานเกิด 2 สัปดาห์จะเรียกว่า ท้องเสียเรื้อรัง เช็ค ...สาเหตุการท้องเสีย ท้องเสียเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้ การติดเชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีการปนเปื้อนของเชื้อ Campylobacter, Salmonella, Shigellaหรือ Escherichia coli (E. coli) เข้าไปในร่างกาย การติดเชื้อไวรัส ที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสีย เช่น rotavirus, norovirus, cytomegalovirus ฯลฯ โดยเชื้อไวรัสrotavirus เป็นสาเหตุของการเกิดอาการท้องเสียในเด็กมากที่สุด ซึ่งสามารถหายได้ภายใน 3-7 วัน แต่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาในการย่อยและดูดซึมแล็กโทสที่พบในน้ำนมได้ การได้รับเชื้อปรสิต โดยเข้าสู่ร่างกายผ่านอาหารและน้ำที่ปนเปื้อน และอาศัยอยู่ในระบบย่อยอาหารของคนเรา เชื้อปรสิตที่มักพบ คือ Giardia lamblia, Entamoebahistolyticaและ Cryptosporidium โรคระบบทางเดินอาหารและระบบลำไส้ผิดปกติ เช่น โรคโครห์น (Crohn’s Disease) โรคลำไส้อักเสบ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง โรคเซลิแอคหรือแพ้กลูเตน โรคลำไส้แปรปรวน แพ้อาหารหรือธาตุอ่อน มีปัญหาในการย่อยสารอาหารบางประเภทหรือที่เรียกว่า ภูมิแพ้อาหาร เช่น การแพ้แล็กโทส ซึ่งเป็นน้ำตาลที่พบมากในนม หรือสารทดแทนความหวานในปริมาณมาก การตอบสนองต่อยาบางประเภท เช่น ยาปฏิชีวนะ ยารักษาโรคมะเร็ง และยาลดกรดที่มีแมกนีเซียม ก็สามารถทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ การผ่าตัดกระเพาะอาหารบางส่วนออกไป อาจเกิดภาวะการดูดซึมอาหารที่ผิดปกติ เนื่องจากเชื้อโรคที่ปนเปื้อนในอาหารไม่ถูกย่อยทำลายเมื่อเข้าสู่กระเพาะอาหาร จึงเล็ดลอดไปสู่ลำไส้เล็กและสร้างสารพิษขึ้น ส่งผลให้ผนังลำไส้เล็กเกิดอาการอักเสบ ไม่สามารถดูดซึมน้ำและอาหารได้เป็นปกติ ทำให้เกิดอาหารท้องเสียขึ้น กลุ่มที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เช่น อาหารเป็นพิษ เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย อาเจียน อย่างเฉียบพลันและมักรุนแรง มักเกิดภายหลังรับประทานอาหารได้สัก 1-2 ชั่วโมง เช็ค ...ยาที่ใช้รักษาท้องเสีย ยาที่ใช้รักษาจะแบ่งตามลักษณะอาการของผู้ป่วย การใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อเพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสีย มักจะพิจารณาให้การรักษาเฉพาะในผู้มีอาการท้องเสียที่ถ่ายเป็นมูกเลือด หรือผู้มีอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำหรือน้ำซาวข้าวที่มีอาการแสดงของการขาดน้ำ ตัวอย่างยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาอาการท้องเสีย ชื่อตัวยา ตัวอย่างชื่อยี่ห้อ กลไกการออกฤทธิ์ วิธีใช้ 1.Norfloxacin (นอร์ฟล็อกซาซิน) เล็กซินอร์ Lexinor นอร์ซาซิน Norxacin ยับยั้งการทำงานของสารเคมีบางตัว เช่น สารดีเอ็นเอไจเรส (DNA Gyrase) ซึ่งอยู่ในขบวนการสร้างสารพันธุกรรมในแบคทีเรีย ส่งผลทำให้การขยายตัวและแพร่พันธุ์ของแบคทีเรียลดลง ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้งก่อนอาการ เช้า เย็น ควรใช้ติดต่อกันประมาณ 3 - 5 วัน 2.Ciprofloxacin (ไซโปรฟลอกซาซิน) Cifloxin (ซิโฟลซิน) ออกฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์สารพันธุกรรมของแบคที เรียที่เรียกว่า ดีเอนเอ (DNA) จึงส่งผลยับยั้งการแพร่พันธุ์ของแบคทีเรีย ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 250-500 มิลลิกรัม ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค วันละ 2 ครั้ง หลังอาการ เช้า เย็น ควรใช้ติดต่อกันประมาณ 3 - 5 วัน 2.ผู้ที่มีอาการท้องเสียแบบถ่ายเหลวไม่มีเลือดปน และไม่มีอาการขาดน้ำ ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อแนะนำให้ดื่มสารละลายเกลือแร่ (Oral rehydration salts, ORS) เพื่อป้องกันอาการขาดน้ำและเกลือแร่ที่เสียไปจากการท้องเสีย ซึ่งวิธีการรับประทานเกลือแร่ที่ถูกต้องคือ ควรให้ผู้ป่วยจิบรับประทานสารละลาย ORS ในปริมาณน้อยๆ ไปเรื่อยๆ แต่จิบบ่อยๆ 3.ยารักษาตามอาการที่ผู้ป่วยเป็น เช่น ท้องเสีย ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ตัวอย่างยาที่ใช้รักษาตามอาการที่เป็นร่วมกับอาการท้องเสีย ชื่อตัวยา ตัวอย่างชื่อยี่ห้อ กลไกการออกฤทธิ์ วิธีใช้ 1. Bismuth subsalicylate (บิสมัท ซับซาลิไซเลต) Gastro-bismol แกสโตรบิสมอล ช่วยยับยั้งการหลั่งสารน้ำ (เช่น กรดและเอนไซม์ต่างๆ) ในทางเดินอาหาร และลดการอักเสบของผนังกระเพาะอาหารและลำไส้ ส่วนบิสมัทจะออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร จึงช่วยรักษาและป้องกันอาการท้องเสียได้ รับประทานครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น 2. Hyoscine (ไฮอสซีน) Buscopan บุสโคพาน ตัวยาไฮออสซีนจะมีกลไกการออกฤทธิ์โดยการเข้าไปแข่งขันและยับยั้งการทำงานของตัวรับ (Receptor) ที่ชื่อว่า มัสคารินิก ทำให้กล้ามเนื้อเรียบของอวัยวะภายในเกิดการคลายตัว จึงลดอาการปวดเกร็งช่องท้องได้ รับประทานครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น 3. Domperidone (ดอมเพอริโดน) Motilium ยาโมทิเลียม กระตุ้นให้หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก มีการบีบและเคลื่อนตัวได้มากขึ้น ทำให้ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน รับประทานครั้งล่ะ 1 เม็ด ก่อนอาหาร เช้า กลางวัน เย็น เช็ค ...การปฏิบัติตัวเมื่อท้องเสีย 1. พักผ่อน หยุดงาน หรือหยุดเรียน 2. ดื่มน้ำมากๆ ดื่มน้ำผงเกลือแร่ เมื่อถ่ายเป็นน้ำหรือรู้สึกปากแห้ง 3. กินอาหารอ่อน อาหารเหลว หรืออาหารรสจืด 4. ยังไม่ควรกินยาหยุดท้องเสียด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว อาจกินยาลดไข้ บรรเทาอาการปวดท้อง 5. รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น เช็ค ...อาการท้องเสียที่ควรรีบพบแพทย์ อาการท้องเสียไม่ดีขึ้นภายใน 1 - 2 วัน (ในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือคนมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ ควรพบแพทย์เมื่ออาการท้องเสียไม่ดีขึ้นภายใน 1 วัน) ปวดท้องมาก และ/หรือ คลื่นไส้ อาเจียน และ/หรือ ตัว/ตาเหลือง มีไข้สูง อุจจาระเป็นมูก หรือมูกเลือด หรือมีสีดำและเหนียวเหมือนยางมะตอย (อาการของการมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร อ้างอิงจาก 1. Health Organization. Diarrhea Treatment Guidelines. The MOST Project; 2005. 2. World Gastroenterology Organization. Acute diarrhea in adults and children: a global perspective [Internet]. 2012 [Cited 2014 Aug 3]. Available from: http://www.worldgastroenterology.org. 3. ดร.ปริญญา อรุโณทยานันท์. เกลือเพื่อชีวิต [Internet]. [Cited 2014 Aug 31]. Available from: https://www.gpo.or.th/rdi/html/ors.html. 4. สมาคมแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย. แนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วย โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันในผู้ใหญ่. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ชุมชุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย; 2546. 5. https://www.pobpad.com/ 6. http://haamor.com/th/

เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะรุนแรงชนิดหนึ่ง จะรู้สึกปวดตุบ ๆ รุนแรง โดยมักปวดบริเวณศีรษะข้างเดียว หรือปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงปวดสองข้าง ในขณะที่ปวดก็มักมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย และอาจมีความรู้สึกไวต่อเสียงและแสงสว่างมากกว่าปกติ บทความโดย ภญ.เสาวณีย์ อินจันทร์ ฟรี ปรึกษาอาหารเสริม เครื่องสำอางและความงาม ตามหลักการแพทย์โดยเภสัชกร ได้ที่ Facebook : GURUCHECK เช็ค กับ กูรู เช็ค ...อาการของไมเกรน มีอาการปวดศีรษะข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง มีอาการปวดแบบตุบ ๆ แสงจ้า เสียงดัง และกลิ่นฉุนจะกระตุ้นให้ปวดมากขึ้น มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว มองเห็นภาพไม่ชัด มีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด หรือเป็นลม เช็ค ...สาเหตุของไมเกรน ไมเกรนเป็นผลจากความผิดปกติชั่วคราวในการทำงานของสมองที่มีผลกระทบต่อเส้นประสาท สารเคมี และหลอดเลือดในสมอง แต่สาเหตุที่แท้จริงของไมเกรนนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายปัจจัยดังนี้ 1. ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ช่วงมีประจำเดือน ระหว่างตั้งครรภ์ ช่วงหมดประจำเดือน หรือการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด 2. อาหารบางชนิด เช่น ชีส ไวน์แดง ช็อคโกแล็ต น้ำตาลเทียม ผงชูรส ชา และกาแฟ 3. การกระตุ้นทางประสาทสัมผัส อาทิ แสงจ้า เสียงดัง กลิ่นฉุน กลิ่นบุหรี่ 4. รูปแบบการนอนที่เปลี่ยนไป เช่น นอนดึก นอนไม่พอ หรือนอนมากเกินไป 5. สิ่งแวดล้อม เช่น อากาศร้อน ฝุ่นควัน 6. ยาบางชนิด เช็ค …ยาที่ใช้รักษาอาการไมเกรน ชื่อตัวยา ตัวอย่างชื่อยี่ห้อ กลไกการออกฤทธิ์ วิธีใช้ 1.Paracetamol พาราเซตามอล Tylenol ไทลินอล Sara ซาร่า บรรเทาปวดและลดไข้ โดยยับยั้งการสร้างสารเคมีบางตัวในสมองของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับอาการปวด เช่น สารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) และจะชักนำให้เกิดกลไกการลดอุณหภูมิหรือลดไข้ของร่างกายลง เด็ก 10-15 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง (หากจำเป็น) ไม่เกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ 500 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง ไม่เกิน 4,000 มิลลิกรัม ต่อวัน *ไม่ควรทานต่อเนื่องนานติดต่อกันเกิน 5 - 7 วัน 2.Ibuprofen ไอบูโปรเฟน Nurofen นูโรเฟน Gofen โกเฟน ยับยั้งการทำงานของสารไซโคลออกซิจีเนส (Cyclooxygenase)ซึ่งจะไปเปลี่ยนสารเคมีบางกลุ่มให้กลายเป็นสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) โพรสตาแกลนดินเป็นตัวชักนำให้เกิดอาการปวด การอักเสบ และก่อให้เกิดอาการไข้ของร่างกาย นอกจากนั้นไอบูโปรเฟนยังสามารถออกฤทธิ์โดยตรงที่สมองและบริเวณอวัยวะที่มีอาการปวดได้ เด็ก ให้รับประทานยาวันละ 30-50 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยแบ่งให้ทุก 6 ชั่วโมง (สูงสุดไม่เกินวันละ 2,400 มิลลิกรัม) ผู้ใหญ่ ให้รับประทานยาครั้งละ 400-800 มิลลิกรัม วันละ 3-4 ครั้ง *ควรรับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันทีเพื่อลดการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร 3.Ergotamine + Caffeine ยาเออร์โกตามีนผสมคาเฟอีน Cafergot คาเฟอร์กอท Tofago โทฟาโก ทำให้หลอดเลือดที่ขยายตัวผิดปกติเกิดการหดตัวลงและทำให้อาการปวดศีรษะหายไป รับประทานเมื่อมีอาการปวดศีรษะไมเกรนในครั้งแรก 1 หรือ 2 เม็ด จากนั้นทุกๆ ครึ่งชั่วโมงหากอาการไม่ดีขึ้นสามารถรับประทานซ้ำอีกครั้งละ 1 เม็ด แต่ห้ามรับประทานเกิน 6 เม็ดต่อวัน และห้ามรับประทานยาเกิน 10 เม็ด ต่อสัปดาห์ *ห้ามใช้ยานี้ในหญิงตั้งครรภ์ เช็ค ...ยาป้องกันไมเกรน ใช้ในกรณีที่มีอาการปวดไมเกรนบ่อย เช่น เกิน 2 ครั้งต่อเดือน การเกิดอาการปวดแต่ละครั้งรุนแรง หรือผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานยาในกลุ่มที่ใช้รักษาอาการปวดไมเกรนแบบเฉียบพลันได้ 1 ยาสกัดเบต้า (β-blocker) ได้แก่ โพรพราโนลอล(propranolol) มีประสิทธิภาพในการป้องกันไมเกรน 55-84% 2 ยาต้านซีโรโตนิน (Anti-serotonin) ได้แก่ ไซโปเฮบตาดีน(cypoheptadine) ซึ่งเป็นยาที่ทำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพในการป้องกันประมาณ 50% 3 ยาแคลเซียมแอนทาโกนิส (Calcium antagonist) ได้แก่ ฟลูนาริซีน(Flunarizine) สามารถป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรนได้ ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ ยาสกัดเบต้า 4 กลุ่มยากันชัก ที่สามารถนำมาใช้ในการป้องกันการเกิดไมเกรนได้ ได้แก่ โซเดียมวาลโปรเอต โทพิราเมท(Sodium valproate) และกาบ้าเพนติน(Gabapentin) ขนาดยาที่ใช้ป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรนจะน้อยกว่าที่ใช้ในการรักษาโรคลมชัก 5 กลุ่มยา Tricyclic Antidepressants เช่น amitriptyline, nortriptyline, and doxepin มีประโยชน์ในผู้ป่วยนอนไม่หลับและมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย แต่อาจมีผลทำให้ปากแห้ง คอแห้ง ง่วงนอน และน้ำหนัก เช็ค ...ตัวอย่างโรคที่มีอาการปวดศีรษะเรื้อรัง หรือปวดมากคล้ายไมเกรน 1. ปวดศีรษะจากความเครียด (tension headache) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหนัก ๆ มึน ๆ บริเวณรอบศีรษะหรือท้ายทอยติดต่อกันนานเป็นชั่วโมง ๆ เป็นวัน ๆ หรือเป็นสัปดาห์ โดยปวดพอทนอย่างคงที่ต่อเนื่อง และยังทำกิจวัตรประจำวันได้ จะทุเลาเมื่อหายเครียดหรือได้ยาบรรเทา 2. เนื้องอกสมอง (brain tumor) พบได้ในคนทุกวัย ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหน่วง ๆ ตึง ๆ ทั่วศีรษะตอนเช้ามืด (ขณะกำลังตื่นนอน) พอตกสาย ไปทำงานหรือเรียนหนังสือก็หายไปเอง เป็นแบบนี้อยู่ทุกเช้า หรือปวดรุนแรง มีอาการอาเจียนบ่อย อาจมีอาการเดินเซ แขนขากระตุกหรืออ่อนแรงตามมาใน 3. หลอดเลือดสมองแตก (cerebral hemorrhage) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดทั่วศีรษะฉับพลันและรุนแรงต่อเนื่องเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ กินยาแก้ปวดไม่ทุเลา แต่ยังรู้สึกตัวดี ต่อมาก็จะแตก มีเลือดออกมาก ผู้ป่วยจะปวดรุนแรงมาก อาเจียน และหมดสติ หากเป็นตรงส่วนสำคัญ ก็จะเสียชีวิต 4. ต้อหินเฉียบพลัน (acute glaucoma) มักพบในวัยกลางคนขึ้นไปที่มีโครงสร้างของลูกตาผิดปกติซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรม ช่วงที่มีอาการกำเริบเนื่องเพราะน้ำเลี้ยงภายในลูกตาเกิดการอุดกั้น ทำให้ความดันภายในลูกตาเพิ่มขึ้นฉับพลัน อ้างอิง 1. https://www.bangkokhospital.com 2. http://www.med.cmu.ac.th/nnc/2007/tip/mikirn.htm 3. http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article 4. http://www.xn--42c6au4awb1a2c8i.com/known.html 5. http://haamor.com/th/ 6. Dr Richard P Kraig, Migraine, University of Chicago 2008-07-24 , 7. http://health-fts.blogspot.com/2012/04/migraine.html 8. นพ.มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์, ไมเกรน, http://vatchainan2.blogspot.com/2013/04/2.html
ใช้ดีมากกกก ตื่นเช้ามาน้าเด้ง แต่งหน้าติด ดีงามค่าาาาา