SK-II
SKII Skin Signature Melting Rich Cream
Description
-
How to use
-
Ingredients
-
Suggestion
-
Benefit( ผลลัพธ์หลังการใช้ )
1.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
0.0 Vote(s)
4
Details Product
-
you might also like

บทความโดย ภญ.เยาวธิดา เทพศิริ ฟรี ปรึกษาอาหารเสริม เครื่องสำอางและความงาม ตามหลักการแพทย์โดยเภสัชกร ได้ที่ Facebook : GURUCHECK เช็ค กับ กูรู เช็ค ...สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังท้อง 1.ประจำเดือนขาด ในกรณีที่มีสุขภาพปกติ มีประวัติประจำเดือนที่ปกติ หากประจำเดือนขาดนานกว่า 10 วันขึ้นไปหรือประจำเดือนขาดนับจากประจำเดือนครั้งสุดท้ายมากกว่า 45 วัน อาจสันนิฐานว่าเกิดการตั้งครรภ์ได้ 2.มีความรู้สึกไวต่อกลิ่นต่าง ๆ ผู้หญิงที่เพิ่งตั้งครรภ์จะมีความไวต่อการรับกลิ่น โดยเฉพาะกลิ่นของอาหาร อาจทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียนได้ง่ายเมื่อได้กลิ่นต่าง ๆ มากระตุ้น 3.คลื่นไส้ อาเจียน เป็นอาการที่พบได้บ่อย ในผู้หญิงบางคนก็อาจไม่พบอาการนี้ในช่วงแรกจนกระทั่งเข้าสู่การตั้งครรภ์ในเดือนแรกหรือเดือนที่ 2 4.เจ็บหน้าอก เนื่องจากหน้าอกมีการขยายขนาดคล้ายกับในช่วงประจำเดือนมา เนื่องจากฮอร์โมนที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงการตั้งครรภ์ 5.ท้องอืด ท้องเฟ้อ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในขณะตั้งครรภ์ช่วงแรกอาจส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อยขึ้นได้คล้าย ๆ กับช่วงก่อนประจำเดือนมา ช่วงนี้บางคนอาจรู้สึกเสื้อผ้าแน่นมากขึ้น 6.ปัสสาวะบ่อย การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนภายในร่างกาย ทำให้อัตราการไหลของเลือดเพิ่มขึ้นและไหลผ่านไปยังไตมากขึ้น ทำให้กระเพาะปัสสาวะรับน้ำมามากตามไปด้วย ผู้หญิงตั้งครรภ์จึงรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าปกติ 7.เหนื่อยง่าย เพลียง่าย สาเหตุเกิดจากระดับฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนอนมีระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงเกิดอาการแพ้ท้องร่วมด้วยทำให้เกิดอาการเพลียง่ายยิ่งกว่าเดิม 8.อารมณ์แปรปรวนง่าย เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย จึงทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวนได้ง่าย เช่น อารมณ์ดี เสียใจ หดหู่ กังวล ซึ่งการแสดงออกทางอารมณ์ในแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป สัญญาณเหล่านี้เป็นแค่อาการเบื้องต้น แต่อาจไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าเกิดการตั้งครรภ์หรือไม่ หากสงสัยว่าเกิดการตั้งครรภ์หรือไม่ แนะนำให้ใช้ชุดตรวจการตั้งครรภ์เพื่อทดสอบการตั้งครรภ์ เป็นการตรวจด้วยตนเองก่อนไปพบแพทย์ค่ะ อ้างอิงจาก 1.รองศาสตราจารย์นายแพทย์วิทยา ถิฐาพันธ์. อาการไม่สบายตอนท้อง…..เป็นอันตรายไหม?. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2560. จากhttp://www.si.mahidol.ac.th/th/department/obstretrics_gynecology/dept_article_detail.asp?a_id=424 2. Webmd. Pregnancy Symptoms. Retrieved June 12, 2017, from http://www.webmd.com/baby/guide/pregnancy-am-i-pregnant#1 3.American Pregnancy Association. Pregnancy symptoms—Early signs of pregnancy. Retrieved June 12, 2017, from http://www.americanpregnancy.org/gettingpregnant/earlypregnancysymptoms.html

เพื่อนๆเคยสงสัยไหมค่ะ ว่าพุงมาจากไหน จริงๆ แล้วพุงมีหลายแบบนะคะ ไปดูกันค่ะ ว่ามีแบบไหนบ้าง บทความโดย กูรูอ้อมมี้ ฟรี ปรึกษาอาหารเสริม เครื่องสำอางและความงาม ตามหลักการแพทย์โดยเภสัชกร ได้ที่ Facebook : GURUCHECK เช็ค กับ กูรู เช็ค ...คุณมีพุงแบบไหน? ภาพจาก Bellybreak.com 1.spare tyre tummy พุงนุ่มสะสมเป็นชั้นๆ เกิดจากชอบกินของหวาน ขาดการออกกำลังกาย หากงดกินจุบจิบ ลดแป้งลด น้ำตาล งดดื่มแอลกอฮอล์ งดเครื่องดื่มน้ำตาลสูงต่างๆ รับประทานผักสด อาหารสด ออกกำลังกายมากๆสม่ำเสมอ ก็จะช่วยได้ค่ะ 2.stress tummy มีพุงแข็งคล้ายท้องอืดยื่น ช่วงกะบังลม หรือ ใต้ลิ้นปี่ถึงสะดือ สาเหตุหลักเกิดจากคุณเป็นคนทำงานหนัก เอาจริงเอาจัง เครียด กินไม่เป็นเวลาจนระบบลำไส้ผิดปกติ ร่างกายผลิตคอร์ติซอล ที่ทำให้เกิดไขมันบริเวณหน้าท้องให้คลายความเครียด การรับทานอาหารตรงเวลา ไม่นอนดึก ลดคาเฟอีน ออกกำลังกายประเภทโยคะแทนคาดิโอหนักๆจะช่วยลดพุงประเภทนี้ได้ค่ะ 3.little pooch tummy ร่างกายทั่วไปผอม แต่มีพุงสะสมน้อยๆถึงมากช่วงท้องน้อย คุณอาจมีพุงน้อยๆทั้งๆที่เป็นคนแอคทีฟและออกกำลังกายเป็นประจำ แต่เป็นการออกกำลังกายท่าเดิมประจำ การซิทอัพผิดวิธีอาจทำให้กล้ามเนื้อสะสมยื่นได้ ลองเปลี่ยนพฤติกรรมก จากการทานอาหารเดิมๆซ้ำๆที่อาจทำให้ไขมันสะสมโดยไม่รู้ตัว เป็นอาหารเส้นใยสูงผักใบเขียวจะช่วยได้ค่ะ 4.mummy tummy พุงคุณแม่หลังคลอดมดลูกยังไม่เข้าอู่ คุณแม่หลังคลอด อย่าเพิ่งรีบร้อนออกกำลังกายให้ร่างกายเข้าที่ใน 2-3 เดือนนะคะ การออกกำลังกายประเภทเสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อท้องช่วงล่าง รับประทานไขมันที่ดีจากถั่ว มะกอก และ น้ำมันปลาอาจพักผ่อนเล็กน้อยตอนกลางวัน และยืดเส้นสายเล็กน้อยก่อนเข้านอนเพื่อช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้นค่ะ 5.bloated tummy หน้าท้องแบนในตอนเช้า แต่ท้องอืด และ เกิดแก๊ส พุงป่องในตอนเย็น ให้ลองสังเกตอาหารที่กินแล้วอึดอัด เช่น พิซซ่า ขนมปัง เค้ก นม เนย ชีส ลองงดแล้วสังเกตว่าระบบย่อย ดีขึ้นรึป่าว ลองปรับเปลี่ยนไปทานอาหารย่อยง่าย เช่น ปลา ผัก รับประทานเป็นเวลามากขึ้น งดมื้อดึก ดื่มน้ำมากๆ และอาจเดินเล่นหลังอาหารเพื่อช่วยระบบย่อย ก็จะช่วยลดพุงแบบนี้ได้ค่ะ อ่านจบแล้วรีบดูพุงตัวเองกันเลย ใช่ไหมหละค่ะ ถ้ารู้แล้วว่าเป็นแบบไหนแล้วก็ลองแก้ไขตามนั้นเลยนะคะ

โรคภูมิแพ้ตนเอง เป็นโรคภูมิต้านตนเอง (Autoimmune disease) ชนิดหนึ่ง เกิดจากการที่ร่างกายสร้างสารภูมิคุ้มกันต้านทาน หรืออิมมูน (Immune) ผิดปกติ โดยระบบภูมิคุ้มกันจะต่อต้านหรือทำลาย เนื้อเยื่อและเซลล์ต่างๆของร่างกายตนเองในระบบอวัยวะต่างๆ แทนที่ จะต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกร่างกาย บทความโดย ภญ.เสาวณีย์ อินจันทร์ ฟรี ปรึกษาอาหารเสริม เครื่องสำอางและความงาม ตามหลักการแพทย์โดยเภสัชกร ได้ที่ Facebook : GURUCHECK เช็ค กับ กูรู เช็ค ... อาการภูมิแพ้ตนเอง ผู้ป่วยโรคนี้มีอาการได้หลายระบบ แต่ละระบบอาจจะมีความรุนแรง น้อยจนถึงรุนแรงมากถึงชีวิตได้อาการในระบบต่างๆมีดังนี้ อาการทั่วไป เช่น ไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว อาการทางผิวหนัง มักจะมีผื่นแดงบริเวณใบหน้า บริเวณสันจมูก และ โหนกแก้ม 2 ข้าง เป็นรูปคล้ายผีเสื้อ อาการทางข้อ มักจะมีอาการอักเสบปวดบวมตามข้อบริเวณข้อ นิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเข่าหรือข้อเท้า อาการทางไต ผู้ป่วยจะมีอาการไตอักเสบ โดยจะมีอาการบวม บริเวณเท้าและขา 2 ข้าง บวมบริเวณหน้าและหนังตา ปัสสาวะ เป็นฟอง อาการทางระบบเลือด มีอาการซีด อ่อนเพลียจากโลหิตจาง ติด เชื้อโรคได้ง่ายจากที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำ มีจุดจ้ำเลือด เลือดออก ผิดปกติจากที่มีเกร็ดเลือดต่ำ อาการทางระบบประสาท มีอาการชัก พูดไม่รู้ เรื่อง ปวดศีรษะ แขนขาอ่อนแรงได้ อาการทางระบบหัวใจและปอด มีอาการเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มปอดอักเสบ แน่นหน้าอก ไอเป็น เลือด หอบเหนื่อย อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้อง ตับอักเสบ เช็ค ...สาเหตุภูมิแพ้ตนเอง ปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานผิด ปกติ แต่จากการศึกษาเชื่อว่า น่ามาจากการผิดปกติจากพันธุกรรม โดยน่าเกิดจากความผิดปกติของยีน (Gene) หลายๆยีน ซึ่งมีทั้งชนิดถ่ายทอดได้ และชนิดไม่ถ่ายทอด เช็ค ...การรักษาโรคภูมิแพ้ตัวเอง ปัจจุบันยังไม่มียา หรือวิธีการรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ แต่เป็นการรักษาให้โรคสงบเป็นพักๆ และการรักษาประคับประคองตามอาการ วิธีการรักษาต่างๆ เช่น หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น/ปัจจัยเสี่ยงให้เกิดอาการ ให้ยากดภูมิคุ้มกันต้านทานของร่างกาย เช่น ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ หรือยาเคมีบำบัดบางชนิดที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง ให้ยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่จากการติดเชื้อ ยาแก้ปวดต่างๆ เมื่อมีอาการปวด ช่น พาราเซตามอล หรือแอสไพริน การรักษาควบคุมโรคต่างๆที่เป็นผลข้างเคียง เช่น โรคไตเรื้อรัง หรือ ยาควบคุมอาการชัก ที่กำลังอยู่ในการศึกษา คือ การปลูกถ่ายไต และการศึกษาหาต้นเหตุของโรค โดยเฉพาะในเรื่องของพันธุกรรมต่างๆ เพื่อให้การรักษาได้ถูกต้อง และอย่างเฉพาะเจาะจง และหาทางในการป้องกันการเกิดโรค เช็ค ...การปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง 1. ผู้ป่วยจะได้รับยากดภูมิคุ้มกันและยาหลายชนิดเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องมีวินัยในการรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่าง ถูกต้อง มาตรวจตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ 2. หลีกเลี่ยงแสงแดด ตั้งแต่ช่วง 10.00 น.-16.00 น.ถ้าจำเป็นให้กางร่ม หรือใส่หมวก สวมเสื้อแขนยาวและใช้ยาทากันแดด 3. หลีกเลี่ยงความตึงเครียด ควรพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ 4. รับประทานอาหารที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัด หวานจัด และมันจัด 5. ป้ องกันการตั้งครรภ์ขณะโรคยังไม่สงบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากกำลังได้ยากดภูมิคุ้มกันอยู่แต่ไม่ควรใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดซึ่ง มีเอสโตรเจน เพราะอาจทำให้โรคกำเริบได้และไม่ควรใช้วิธีใส่ ห่วงด้วยเพราะมีโอกาสติดเชื้อสูงกว่าคนปกติ 6. หลีกเลี่ยงจากสถานที่แออัด มีคนหนาแน่น อากาศไม่บริสุทธิ์และไม่เข้าใกล้ผู้ที่กำลังเป็นโรคติดเชื้อ เช่น ไข้หวัด 7. ถ้ามีอาการผิดปกติที่เป็นอาการของโรคก เริบ เช่น บวม ผมร่วง ผื่น ปวดข้อ ให้รีบมาพบแพทย์ อ้างอิง 1. http://www.brkidney.org/download/SLE.pdf สถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร 2. http://haamor.com/th 3. http://www.thaiclinic.com/sle.html โดย พต.นพ.ชาติวุฒิ ค้ำชู อายุรแพทย์โรคข้อและรูมาติสซึ่ม 4. https://www.printo.it/pediatric-rheumatology/TH

มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่เกิดบริเวณปากมดลูกของผู้หญิง โดยทั่วไปมักไม่พบอาการแสดงในระยะแรกที่เริ่มป่วย แต่จะมีอาการเมื่อเซลล์มะเร็งได้ลุกลามไปแล้ว สำหรับผู้หญิงไทย มะเร็งที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากที่สุดคือมะเร็งปากมดลูก จากรายงานของสำนักงานวิจัยมะเร็งนานาชาติพบว่า ในปีพ.ศ. 2545 ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ปีละ 6,243 ราย เสียชีวิต 2,620 ราย หรือประมาณร้อยละ 42 ถ้าคิดคำนวณแล้วจะมีผู้หญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกวันประมาณ 7 คน มะเร็งปากมดลูกพบมากที่สุดในภาคเหนือของประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆมะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่สามารถป้องกันได้และสามารถตรวจคัดกรองหาความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะก่อนมะเร็ง ซึ่งการรักษาได้ผลดี บทความโดย นพ.สุพจน์ สุไพบูลย์พิพัฒน์ ฟรี ปรึกษาอาหารเสริม เครื่องสำอางและความงาม ตามหลักการแพทย์โดยเภสัชกร ได้ที่ Facebook : GURUCHECK เช็ค กับ กูรู เช็ค ...อาการของ มะเร็งปากมดลูก อาการจะมากหรือน้อยขึ้นกับระยะของโรค ในระยะแรกอาจไม่มีอาการผิดปกติ แต่มักพบอาการของมะเร็งปากมดลูกแสดงในระยะที่เซลล์มะเร็งเริ่มพัฒนาลุกลามไปแล้ว อาการของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกจะมากหรือน้อยขึ้นกับระยะของมะเร็ง ในระยะแรกอาจไม่มีอาการผิดปกติและตรวจพบจากการตรวจคัดกรองหรือการตรวจด้วยกล้องขยายร่วมกับการตัดเนื้อ ออกตรวจทางพยาธิวิทยา อาการที่อาจจะพบในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกได้แก่ มะเร็งปากมดลูกมีระยะพัฒนาโรค โดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะใหญ่ๆ ดังนี้ 1.ระยะก่อนมะเร็ง ระยะนี้ผู้ป่วยจะไม่มีอาการผิดปกติเลย เซลล์มะเร็งยังอยู่ภายในชั้นเยื่อบุผิว ปากมดลูก ไม่ลุกลามเข้าไปในเนื้อปากมดลูก สามารถตรวจพบได้จากการตรวจคัดกรองโดยการตรวจทางเซลล์วิทยาของปากมดลูกที่เรียกว่าแพปสเมียร์ 2. ระยะลุกลาม แบ่งออกเป็น 4 ระยะย่อย คือ ระยะที่ 1 – มะเร็งก่อตัวและฝังอยู่บริเวณปากมดลูก ระยะที่ 2 – มะเร็งเริ่มแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อในบริเวณใกล้เคียง คือ ที่เนื้อเยื่อข้างปากมดลูก หรือผนังช่องคลอดส่วนบน ระยะที่ 3 – มะเร็งแพร่ไปทั่วบริเวณอวัยวะเพศหญิงและเนื้อเยื่อบริเวณอุ้งเชิงกราน หรือกดท่อไตจนเกิดภาวะไตบวมน้ำ ระยะที่ 4 – มะเร็งลุกลามไปยังกระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ ปอด ตับ กระดูก และอวัยวะอื่น ๆ โดยทั่วไป อาการแสดงที่พบ ได้แก่ เลือดไหลออกจากช่องคลอดอย่างผิดปกติ โดยที่ไม่ใช่เลือดประจำเดือน เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ ช่องคลอดมีกลิ่นผิดปกติ ตกขาวปนเลือด ปวดท้องน้อย หรือปวดท้องบริเวณอุ้งเชิงกรานที่ไม่ใช่ปวดประจำเดือน และมีอาการในระยะหลังเมื่อมะเร็งลุกลามมากขึ้น ได้แก่ ขาบวม ปวดหลังรุนแรง ปวดก้นกบและต้นขา ปัสสาวะเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด เช็ค ...สาเหตุของ มะเร็งปากมดลูก สาเหตุของมะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่คือ การติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ที่บริเวณปากมดลูกจากการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงดังนี้ 1.ปัจจัยเสี่ยงทางฝ่ายหญิง การมีคู่นอนหลายคน มีประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เริม ซิฟิลิส และหนองใน เป็นต้น การมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อยกว่า 17 ปี มีบุตรหลายคน การรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ๆ ถ้านานกว่า 5 ปี และ 10 ปี จะมีความเสี่ยง สูงขึ้น 1.3 เท่า และ 2.5 เท่า ตามลำดับ ไม่เคยได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมาก่อน 2. ปัจจัยเสี่ยงทางฝ่ายชาย เนื่องจากส่วนใหญ่ของการติดเชื้อ HPV บริเวณอวัยวะเพศได้มาจากการมีเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายที่มีเชื้อHPV (ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ชายจะไม่มีอาการหรือตรวจไม่พบเชื้อ) แม้เพียงครั้งเดียวก็มีโอกาสติดเชื้อ HPV และเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ ปัจจัยเสี่ยงทางฝ่ายชายได้แก่ ผู้หญิงที่มีสามีเป็นมะเร็งองคชาติ ผู้หญิงที่แต่งงานกับชายที่เคยมีภรรยาเป็นมะเร็งปากมดลูก ผู้ชายที่เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้ชายที่มีประสบการณ์ทางเพศตั้งแต่อายุน้อย ผู้ชายที่มีคู่นอนหลายคน 3. ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ส่งเสริมให้เป็นมะเร็งปากมดลูกได้ง่ายหรือเร็วขึ้นได้แก่ การสูบบุหรี่ ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น โรคเอดส์ และการได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช็ค ...การรักษา มะเร็งปากมดลูก การตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคได้มากขึ้น การรักษามะเร็งปากมดลูกต้องรักษาตามระยะของการป่วยและอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น โดยอัตราการรอดชีวิตหลังการรักษาภายใน 5 ปี ของผู้ป่วยมะเร็ง ขึ้นอยู่กับระยะของการป่วยที่ตรวจพบและการลุกลามของมะเร็ง ได้แก่ มะเร็งระยะที่ 1 โอกาสรอดชีวิตมากกว่า 90% มะเร็งระยะที่ 2 โอกาสรอดชีวิตประมาณ 60-80% มะเร็งระยะที่ 3 โอกาสรอดชีวิตประมาณ 50% มะเร็งระยะที่ 4 โอกาสรอดชีวิตน้อยกว่า 30% แบ่งวิธีการรักษามะเร็งปากมดลูกตามระยะของมะเร็งได้ดังนี้ 1. ระยะก่อนมะเร็ง รักษาได้หลายวิธีได้แก่ การตรวจติดตามอย่างใกล้ชิด โดยการตรวจภายใน การทำแพปสเมียร์ และการตรวจด้วยกล้องขยาย ทุก 4 - 6 เดือน รอยโรคขั้นต่ำบางชนิดสามารถหายไปได้เองภายใน 1 - 2 ปี ภายหลังการตัดเนื้อออกตรวจ การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้าหรือมีด(conization) การจี้ปากมดลูกด้วยความเย็น การจี้ด้วยเลเซอร์ รอยโรคในระยะก่อนมะเร็งสามารถรักษาให้หายได้โดยไม่จำเป็นต้องตัดมดลูกออก เพราะมีผลการรักษาไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 2. ระยะลุกลาม การเลือกวิธีรักษาขึ้นกับโรคประจำตัวของผู้ป่วย ระยะของมะเร็ง และความพร้อมของโรงพยาบาลหรือแพทย์ผู้ดูแลรักษา ระยะที่ 1-2 บางราย รักษาโดยการตัดมดลูกออกแบบกว้างร่วมกับการเลาะต่อมน้ำเหลืองเชิงกรานออก ระยะที่ 2-4 รักษาโดยการฉายรังสีร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด เช็ค ...การป้องกัน มะเร็งปากมดลูก การป้องกันมะเร็งปากมดลูกสามารถทำได้ดังนี้ 1.ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV เช่น ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ ไม่สูบบุหรี่ 2.การฉีดวัคซีนเอชพีวี (HPV vaccine) เพื่อเสริมสร้างให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส โดยสามารถฉีดวัคซีนได้ในช่วง 2 อายุ คือ 9 – 13 ปี และ 13 ปีขึ้นไป 3.ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ผู้หญิงช่วงอายุ 21-29 ปี ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุก ๆ 3 ปี ส่วนช่วงอายุ 30-65 ปี ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกควบคู่กับการตรวจหาเชื้อ HPV ทุก ๆ 5 ปี และสำหรับผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ที่ตรวจแต่ไม่เคยตรวจพบสัญญาณของมะเร็ง ก็สามารถหยุดเข้ารับการตรวจได้ แต่หากอาการผิดปกติหรือสงสัยควรปรึกษาแพทย์เพิ่มเติม อ้างอิง 1.รองศาสตราจารย์นายแพทย์จตุพล ศรีสมบูรณ์. ความรู้เกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูก. สืบค้นเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2560. จาก http://www.rtcog.or.th/html/articles_details.php?id=13 2. นพ.ปิยวัฒน์ เลาวหุตานนท์. มะเร็งปากมดลูก. สืบค้นเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2560. จาก http://www.nci.go.th/th/File_download/thanong 3.National Cervical Cancer Coalition. Cervical Cancer Overview. Retrieved May 27, 2017, from http://www.nccc-online.org/hpvcervical-cancer/cervical-cancer-overview/ 4.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.). มะเร็งปากมดลูก ภัยเงียบใกล้ตัว รู้ทัน ป้องกันได้. สืบค้นเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2560. จากhttp://www.thaihealth.or.th/Content